ลดรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น อาหารหมักดองอย่างปลาร้า รวมถึงผักผลไม้บางชนิด เช่น กระเทียม ทุเรียน สะตอ และชะอม เป็นต้น ซึ่งหากสามารถลดอาหารเหล่านี้ได้ ก็จะช่วยให้กลิ่นตัวค่อยๆ จางลงอย่างแน่นอน หรือในบางคนก็อาจแทบไม่มีกลิ่นตัวเลย 2. งดสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสองสิ่งนี้ มีสารชนิดหนึ่งที่จะไปกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อทำงานมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์มากกว่าเดิม 3. ดีท็อกซ์ร่างกาย การดีท็อกซ์คือ การล้างสารพิษในร่างกายด้วยวิธีต่าง ๆ เชื่อกันว่าวิธีนี้จะทำให้ภายในร่างกายมีความสะอาดมากยิ่งขึ้น จึงทำให้กลิ่นตัวค่อย ๆ หายไปเองด้วย อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพมากทีเดียว ดังนั้นลองมาทำดีท็อกซ์ เพื่อล้างพิษออกจากร่างกายกันดูสิ 4. ไม่ ขัดผิวบ่อย ถึงแม้ว่าการขัดผิว จะเป็นการทำลายแบคทีเรียที่เกาะอยู่ตามผิวหนังได้เป็นอย่างดี แต่อย่าลืมว่าร่างกายของเราก็มีแบคทีเรียดีที่มีประโยชน์ต่อผิวด้วย การขัดผิวที่มากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง อาจทำให้แบคทีเรียที่ช่วยลดกลิ่นตัวถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นที่แรงขึ้น 5. ใช้เบคกิ้งโซดา นำเบคกิ้งโซดามาผสมน้ำให้พอข้น ๆ แล้วทาไปตามจุดต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว เช่น รักแร้ ข้อพับเข่า ท้ายทอย ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด ซึ่งก็ไม่ยากเลย เพราะฉะนั้นใครที่มีกลิ่นตัวแรงก็ลองทำตามกันดูสิ รับรองว่าได้ผลลัพธ์ที่โดนใจแน่นอน 6.
5 ส. ค. 2564 16:15 น. "กรมการแพทย์" เผยสาเหตุ "กลิ่นตัวไม่พึงประสงค์" อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การเข้าสังคม รวมถึงสุขภาพจิตของผู้ที่มีปัญหานี้ พร้อมแนะวิธีการป้องกัน แนวทางการรักษากลิ่น วันที่ 5 ส. 2564 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า กลิ่นตัวเป็นปัญหาที่พบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย พบบ่อยในช่วงท้ายของวัยรุ่นจนถึงช่วงเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ สาเหตุหลักของการเกิดกลิ่นตัว ได้แก่ 1. แบคทีเรียประจำถิ่นบริเวณรักแร้ ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากความร้อนและความชื้นของอากาศ 2.
สมุนไพรประเภทเกษร หรือประเภทผงคต่างๆ ควรเก็บไว้ในขวดแกว หรือขวดพล๊าสติคอัดอากาศให้แน่น สมุนไพรเหล่านี้ย่อมจะมีคุณสมบัติอยู่ได้ในระยะอันยาวนาน 6.
เขียนวันที่ วันจันทร์ ที่ 15 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10:09 น. เขียนโดย isranews 5 องค์กรแพทย์ ประกาศแก้ไขคำแนะนำการเข้าสู่สังคมของผู้ป่วยโควิด-19 หลังรักษาหายแล้ว-กักตัวครบ 10 วัน ถือว่าพ้นระยะแพร่เชื้อ ย้ำไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 พ. ย. 2564 องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ 5 องค์กร ประกอบด้วย แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย และสมาคมโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ออกประกาศร่วม ฉบับลงวันที่ 14 พ.
นักวิชาการไม่ค่อยแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ยาระงับเหงื่อแอนติเพอสไปแรนท์ (Antiperspirant) เท่าไหร่นัก เพราะมีรายงานการทดลองวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าโลหะอลูมิเนียมเหล่านี้ส่งผลต่อเยื่อสมอง รวมถึงมีการพบสารนี้ในคนไข้โรคสมองเสื่อม (Alzheimer) เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และอาจจะหลุดเข้าไปในกระแสเลือดได้อีกด้วย ดังนั้นเราควรเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายดีโอโดแรนท์ (Deodorant) จะปลอดภัยกว่าการใช้ ผลิตภัณฑ์ยาระงับเหงื่อแอนติเพอสไปแรนท์ (Antiperspirant) ขอขอบคุณบทความจาก: รองศาสตราจารย์ ดร. ภญ. พิมลพรรณ พิทยานุกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มา: รามาแชนแนล Rama Channel
หน่อไม้ฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่งทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นฉุนเมื่อก๊าซเมอร์แค็ปแทนซึ่งมีส่วนประกอบของซัลเฟอร์สลายตัวในระบบย่อยอาหาร แต่ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมปัสสาวะของตัวเองไม่มีกลิ่นหลังจากที่รับประทานหน่อไม้ฝรั่ง นั่นเป็นเพราะร่างกายของคุณไม่มีเอนไซม์ที่สลายก๊าซเมอร์แคปแทนนั่นเอง วิธีแก้: เปลี่ยนจากหน่อไม้ฝรั่งมารับประทานพริกหวานแทนซึ่งสามารถนำไปปิ้งหรือย่างได้เหมือนกัน ที่สำคัญไม่มีผลเสียตามมาด้วย 5. ผักตระกูลกะหล่ำ (บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดาว) แม้ว่าอาหารที่มีส่วนประกอบของซัลเฟอร์จะอุดมไปด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยขับพิษและเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งออกไปจากร่างกายได้ แต่พวกมันก็ทำให้เรามีกลิ่นตัวที่รุนแรงมากได้เช่นกัน วิธีแก้: ผักตระกูลกะหล่ำมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราก็จริง แต่เพื่อความสบายใจเราควรรับประทานอาหารประเภทนี้ที่บ้าน! คุณสามารถนำไปลวกก่อนปรุงอาหารเพื่อกำจัดกลิ่นบางส่วนได้ 6. หอมหัวใหญ่ หลังจากที่หอมหัวใหญ่ผ่านกระบวนการย่อยแล้ว กลิ่นฉุนของมันจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เข้าไปในปอดและออกมาพร้อมกับลมหายใจ ยิ่งคุณรับประทานหอมหัวใหญ่มากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งมีกลิ่นของมันติดทนนานมากเท่านั้น วิธีแก้: แทนที่จะรับประทานแบบสดๆ คุณลองนำหอมหัวใหญ่ไปเจียวก่อนเพื่อให้น้ำมันซึมออกมา ซับน้ำมันส่วนเกินด้วยกระดาษทิชชู่ เพียงเท่านี้กลิ่นของมันก็จะจางลง 7.
สิ่งที่คุณรับประทานเข้าไปมีผลต่อกลิ่นตัวของคุณไม่ใช่เฉพาะแค่ลมหายใจเท่านั้น และส่วนประกอบซัลเฟอร์สามารถพบได้ในอาหารจำนวนมาก เช่น กระเทียม ยี่หร่า และหน่อไม้ฝรั่ง ขณะที่กลิ่นกระเทียมไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ (ว่ากันว่ากลิ่นกระเทียมสามารถขับไล่ผีดูดเลือดกับยุงได้) หากคุณมีนัดเดท นัดสัมภาษณ์ หรือวางแผนที่จะออกไปเที่ยวข้างนอก คุณอาจต้องหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เราก็มีเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆมาฝากด้วยค่ะ 1. เนื้อสัตว์ การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติจะมีกลิ่นตัวหอมกว่าผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ วิธีแก้: หันมารับประทานอาหารทะเลหรือผักแทนเนื้อสัตว์ 2. แกงกะหรี่/ยี่หร่า กลิ่นหอมจากเครื่องเทศอย่างแกงกะหรี่และยี่หร่าจะติดอยู่ตามรูขุมขนของคุณครั้งละหลายๆวัน วิธีแก้: แม้แต่ยี่หร่าเพียงนิดเดียวก็อาจติดทนนานไปหลายวัน ดังนั้นลองเปลี่ยนมาใช้กระวานซึ่งเป็นพืชในตระกูลขิงแทน แต่ให้กลิ่นที่หอมสดชื่นกว่า 3. กระเทียม กลิ่นกระเทียมซึมออกมาจากผิวหนังของเราได้เนื่องจากสารอัลลิซินจะถูกปล่อยออกมาเมื่อมีการหั่นหรือบดกระเทียม และเมื่อรับประทานเข้าไปสารอัลลิซินจะสลายตัวอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเป็นสารประกอบชนิดอื่นที่สร้างแบคทีเรียไปผสมกับเหงื่อทำให้เกิดกลิ่นที่รุนแรงตามมา แต่ว่ากันว่าถ้าคุณกับคู่รักรับประทานกระเทียมด้วยกันทั้งคู่ก็จะไม่มีใครได้กลิ่นของมัน วิธีแก้: หากรักแร้ของคุณเริ่มมีกลิ่นรุนแรง ลองทาน้ำส้มสายชูกลั่นขาวหรือน้ำส้มสายชูหมักจากผลแอปเปิ้ลเพื่อขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ไปตลอดทั้งวัน 4.
สังคัง ถือเป็น โรคผิวหนัง ที่พบได้ค่อนข้างบ่อยโดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะภูมิต้านทานโรคต่ำ แต่ปัจจุบันนี้โรคสังคังสามารถเกิดขึ้นได้แทบจะทุกคนและทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกิน หรือ โรคอ้วน ที่นับเป็นต้นเหตุหลักๆ เนื่องจากคนอ้วนจะมีจุดบริเวณค่อนข้างที่จะอับชื้นมากกว่าคนทั่วไป เช่น เหงื่อตามบริเวณข้อพับ ศอกคอ แล้วสังคัง จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร และจะสามารถรักษาให้อาการนี้หาไปได้หรือไม่?
รักษาสุขอนามัยให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำ 2. ลดเหงื่อ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ลดเหงื่อ ซึ่งมีขายทั่วไปในท้องตลาด มีทั้งชนิดที่มีน้ำหอมเพื่อกลบกลิ่น และชนิดที่ไม่มีน้ำหอม 3. กำจัดหรือโกนขนบริเวณรักแร้ 4.