ใหม่!! : เนติลมัยซินและเจนตามัยซิน · ดูเพิ่มเติม »
82 เหลือ 0.
ผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการปอดอักเสบปานกลาง หรือ รุนแรง ได้แก่ หายใจเร็วกว่าอัตราการหายใจตามกำหนดอายุ (60 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ <2 เดือน, 50 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ 2-12 เดือน, 40 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ 1-5 ปี และ 30 ครั้ง/นาที ในเด็กอายุ >5 ปี) แนะนำให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แนะนำให้ favipiravir เป็นเวลา 5-10 วัน พิจารณาให้ remdesivir หากเป็นมาไม่เกิน 10 วัน และมีปอดอักเสบที่ต้องการการรักษา ด้วยออกซิเจน หรือมีอาการรุนแรง แนะนำให้ corticosteroid 5.
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกคำแนะนำฉบับเบื้องต้นการดูแลรักษาโควิด 19 ในผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า15 ปี ฉบับที่ 1/2565 โดยระบุว่า การระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน ทำให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การติดเชื้อสะสมในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 ธ. ค. 64 - 16 ก. พ. 65 สูงถึง 77, 635 คน คิดเป็น 21% ของผู้ติดเชื้อในทุกกลุ่มอายุ แต่เชื้อโอมิครอนพบอาการรุนแรงและเสียชีวิตน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆ และจากการติดตามผู้ป่วยเด็ก ส่วนใหญ่ติดเชื้อแบบไม่มีอาการหรืออาการน้อย สามารถให้การดูแลที่บ้านได้ โดยให้การรักษาแบบประกับประคอง ส่วนน้อยมากที่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสหรือต้องนอน รพ. โดยมีคำแนะนำสำหรับผู้ติดเชื้อที่มีผลตรวจ ATK เป็นบวก และผู้ติดเชื้อยืนยัน ทั้งที่มีอาการและไม่แสดงอาการ ดังนี้ 1. ผู้ที่ไม่มีอาการ ไม่แนะนำยาต้านไวรัส สามารถดูแลแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้านได้ อาจไม่จำเป็นต้องเข้าระบบบริการ Home isolation หรือรับการรักษาใน รพ. 2. ผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง แนะนำให้ดูแลตามอาการ สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก และแยกกักตัวที่บ้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าระบบบริการ HI หรีอรับการรักษาใน รพ.
"10 จังหวัดติดเชื้อสูงสุด" ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์ "โควิดวันนี้" 16 มี. ค.
ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ไม่มีอาการ แนะนำให้นอนโรงพยาบาล หรือในสถานที่รัฐจัดให้อย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่ตรวจพบเชื้อ หากมีอาการปรากฏขึ้นมาให้ตรวจวินิจฉัย และรักษาตามสาเหตุ ให้ดูแลรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เองและอาจได้รับผลข้างเคียงจากยา 2. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง/โรคร่วมสำคัญ ดูแลรักษาตามอาการ ส่วนมากหายได้เอง แนะนำให้นอนโรงพยาบาล หรือในสถานที่รัฐจัดให้อย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการ หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น ไม่มีไข้ หรือไม่มีอาการอื่น ๆ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง รับยาต้านไวรัส (ตามดุลยพินิจของแพทย์) 3. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงแต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือผู้ป่วยที่มีปอดบวมเล็กน้อย รวมถึงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ตับแข็ง ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์น้อยกว่า 1, 000 เซลล์/ลบ. มม. เป็นต้น แนะนำให้นอนโรงพยาบาล อย่างน้อย 14 วัน หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น รับยาต้านไวรัสระยะเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการตามความเหมาะสม หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ 4.
เป็นวัณโรคมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม? ในทางการแพทย์ไม่มีข้อห้ามเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ขณะป่วยด้วยวัณโรค แต่เนื่องจากผู้ป่วยวัณโรคที่กำลังอยู่ในช่วงการรักษามักจะมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงหรือเหนื่อยง่าย การจะมีเพศสัมพันธ์อาจต้องดูความพร้อมของร่างกายผู้ป่วยด้วยเป็นหลัก 2. วัณโรครักษาหายหรือไม่? วัณโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้แต่ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อดื้อยาและกลับมาเป็นซ้ำอีกได้ 3. วัณโรคเป็นแล้วเป็นอีกได้ไหม? เป็นอีกได้ แม้ว่าจะหายแล้วและร่างกายแข็งแรงดีก็ตาม แต่ถ้ายังกลับไปอยู่ในพื้นที่แออัดที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรคและไปคลุกคลีกับผู้ป่วยวัณโรคแบบไม่ป้องกันตัวเอง ก็สามารถกลับมาเป็นวัณโรคอีกครั้งได้ รวมถึงผู้ที่รับระทานยาไม่ครบตามแพทย์สั่งเชื้ออาจยังอยู่ในร่างกายและกำเริบได้อีกครั้ง 4. วัณโรคเกิดจากเชื้ออะไร? โรควัณโรคเกิดจากการรับเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Mycobacterium Tuberculosis ผ่านการสูดดมเอาละอองฝอยที่กระจายอยู่ในอากาศเข้าไป โดยเชื้อที่อยู่ในอากาศเหล่านี้มาจากผู้ป่วยวัณโรคไอ จาม พูด หัวเราะ รวมถึงร้องเพลง 5. วัณโรคติดต่อง่ายไหม? วัณโรคสามารถติดจากอีกคนสู่อีกคนได้ง่ายมาก โดยการหายใจรับละอองฝอยที่มีเชื้อแบคทีเรียในอากาศเข้าไป เชื้อจะเข้าไปสู่ปอดและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว 6.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ชมรมเชื้อราทางการแพทย์ประเทศไทย มหิดล ชาแนล เรื่องที่คุณอาจสนใจ