ล. ต.
3x ซึ่งจะเห็นได้ว่าอัตราส่วน EV/EBITDA ที่ 17. 2x (ค่าปัจจุบัน) ถือว่า S&P500 อยู่ในระดับแพงเมื่อเทียบกับในอดีต การซื้อหุ้นสหรัฐฯ ตอนนี้อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่เป็นบวก เราวิเคราะห์ต่อว่า ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับเมื่อลงทุนในช่วงที่ตลาดมีอัตราส่วน EV/EBITDA แตกต่างกันเป็นอย่างไร โดยเราพบว่า ถ้านักลงทุนลงทุนในช่วงที่ EV/EBITDA อยู่ระหว่าง 8. 1x และ 8. 8x (ช่วงเวลาส่วนใหญ่) นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนร้อยละ 15 เมื่อผ่านไป 1 ปี และร้อยละ 35 เมื่อผ่านไป 5 ปี ทั้งนี้ ผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจะลดลง เมื่อนักลงทุนลงทุนในช่วงที่ EV/EBITDA สูงกว่า 8.
ดวงเด่นรายวัน โหรสมชาย เกียรติ์ภราดร วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ. ศ.
กองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF)' ซึ่งเป็นรูปแบบของกองทุนรวมต่างประเทศที่บลจ. ต่างๆ นำเสนออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีให้เลือกทั้งระดับสินทรัพย์ ภูมิภาค ประเทศ หรือกลยุทธ์การลงทุนให้เลือกสรรกันตามอัธยาศรัยเลยทีเดียว ' กอง FIF' แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ -'Fun of Funds' เป็นกองทุน FIF ที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ' หลายกองทุน ' -'Feeder Funds' เป็นกองทุน FIF ที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักในต่างประเทศเพียง ' กองทุนเดียว ' ไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน "บลจ. ส่วนใหญ่เกือบจะ 100% มี ' กอง FIF' เป็นหนึ่งในโพรดักต์ที่มีไว้เป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่สนใจอยู่แล้ว เลือกให้ตอบโจทย์การลงทุนและความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองก็พอ" 2. '
2x สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปี (ตั้งแต่ปี 1990) ค่อนข้างมาก ปัจจุบันอัตราส่วน EV/EBITDA [1] ของ S&P500 อยู่ที่ 17.
ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารจะผิดนัด ไม่ชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ย หรือ Default Risk ซึ่งเป็นความเสี่ยงหลักที่ผู้ลงทุนในตราสารหนี้กังวล ทั้งนี้วิธีการลดความเสี่ยงนี้ก็คือ ลงทุนในตราสารที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่สูง ซึ่งก็จะมีโอกาสเกิดการผิดนัดชำระน้อยลงค่ะ 5. ความเสี่ยงจากผู้ที่เราทำธุรกรรมด้วย ไม่สามารถส่งมอบหรือทำตามสัญญาได้ หรือ Counter-party Risk 6. ความเสี่ยงจากสภาพคล่องของสินทรัพย์ที่ลงทุน หรือ Liquidity Risk สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ซื้อง่ายขายคล่อง ย่อมมีความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องน้อยกว่าสินทรัพย์ที่ซื้อยากขายยาก เพราะฉะนั้น เวลาเจะลงทุนที่มีสภาพคล่องต่ำ เราก็จะต้องคาดหวังผลตอบแทนพิเศษเพื่อชดเชย เผื่ออยากขายต้องใช้เวลานาน หรือหากจะขายเร็วๆต้องยอมลดราคาลงไปด้วย 7. ความเสี่ยงในผลตอบแทนจากการลงทุนต่อ หรือ Reinvestment Risk: เมื่อตราสารที่ลงทุนครบอายุ และผู้ลงทุนได้รับเงินลงทุนกลับมา สิ่งที่จะต้องคิดก็คือ มองหาตราสารที่จะไปลงทุนต่อ เพราะฉะนั้น หากเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนจะลดลง ผู้ลงทุนควรจะถือตราสารอายุยาวขึ้น เพื่อจะได้ล็อกอัตราผลตอบแทนไว้ 8. ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสถานะของลูกหนี้หรือบริษัทในเหตุการณ์เฉพาะ หรือเรียกว่า Event Risk เช่น ท่อน้ำมันของบริษัทรั่ว บริษัทเกิดไฟไหม้ เกิดการนัดหยุดงานของพนักงาน ฯลฯ ซึ่งจะกระทบสถานะของบริษัทนั้น 9.